ภาษีคริปโทเบื้องต้น 2569: คู่มือฉบับมือใหม่ ไม่ให้โดนสรรพากรเรียกเก็บย้อนหลัง

0
8

ภาษีคริปโทเบื้องต้น 2569: คู่มือฉบับมือใหม่ ไม่ให้โดนสรรพากรเรียกเก็บย้อนหลัง

การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ได้กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย และแน่นอนว่าเมื่อมีรายได้ ย่อมมาพร้อมกับหน้าที่ในการเสียภาษี หลายคนอาจคิดว่าเรื่องภาษีคริปโทเป็นเรื่องซับซ้อนและน่าปวดหัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากคุณเป็นมือใหม่และเข้าใจหลักการพื้นฐานที่สำคัญ คุณจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นเข้าสู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัลในปี พ.ศ. 2569 นี้ กฎระเบียบด้านภาษีมีความชัดเจนมากขึ้น และหน่วยงานอย่างกรมสรรพากรก็ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบรายได้จากช่องทางนี้อย่างจริงจัง ดังนั้น การเตรียมตัวล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด บทความนี้คือ คู่มือภาษีคริปโทเบื้องต้น ที่จะช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่า สรรพากรคริปโท จะเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง

ภาษีคริปโทคืออะไร? ทำไมมือใหม่ต้องรู้

ในประเทศไทย รายได้ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลถูกจัดเป็น “เงินได้พึงประเมิน” ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(4)(ฉ) ซึ่งหมายความว่า รายได้เหล่านี้ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในหุ้นที่มักจะได้รับยกเว้นภาษีกำไรส่วนต่าง (Capital Gain Tax) ดังนั้น การจัดการ ภาษีคริปโท จึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ

รายได้แบบไหนที่ต้องเสียภาษี?

โดยหลักการแล้ว รายได้จากคริปโทฯ ที่ต้องนำมายื่นภาษีคือ “กำไร” หรือ “ผลประโยชน์” ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังต่อไปนี้:



  • กำไรจากการขายหรือแลกเปลี่ยน (Capital Gain): เมื่อคุณขายคริปโทฯ ในราคาที่สูงกว่าต้นทุน หรือนำคริปโทฯ ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาท หรือแลกเปลี่ยนกับคริปโทฯ สกุลอื่น (Crypto-to-Crypto Trade) กำไรที่ได้ถือเป็นรายได้

  • รายได้จากการขุด (Mining): ผลตอบแทนที่ได้รับจากการเป็นนักขุด

  • ผลตอบแทนจากการ Staking หรือ Lending: ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนที่ได้รับจากการนำเหรียญไปฝากไว้ในระบบ (DeFi)

  • รายได้จาก Airdrop หรือ Bounty: หากได้รับเหรียญฟรี แล้วนำไปขายหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้

สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ ภาษีจะเกิดขึ้นเมื่อมีการ “ทำกำไร” และ “เปลี่ยนมือ” เท่านั้น หากคุณถือเหรียญไว้เฉย ๆ (HODL) โดยที่ยังไม่ขายหรือแลกเปลี่ยน ก็ยังไม่ถือว่าเกิดภาระภาษี

กฎเหล็ก 3 ข้อ: สรุปหลักการคำนวณภาษีคริปโทในไทย

การ คำนวณภาษีคริปโท ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด หากคุณทำความเข้าใจหลักการพื้นฐาน 3 ข้อนี้:


  1. คำนวณจาก “กำไรสุทธิ”: ภาษีจะเก็บจาก กำไร เท่านั้น ไม่ใช่จากยอดขายทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า คุณสามารถนำ “ต้นทุน” ของเหรียญมาหักออกจาก “ราคาขาย” ได้ โดยวิธีการคำนวณต้นทุนที่นิยมใช้คือ FIFO (First In, First Out) คือการสมมติว่าเหรียญที่คุณซื้อเข้ามาก่อน จะถูกขายออกไปก่อน

  2. หักค่าใช้จ่ายได้: คุณสามารถนำค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Transaction Fee) หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างรายได้มาหักได้ เพื่อให้เหลือแต่กำไรสุทธิที่แท้จริง

  3. นำไปรวมยื่นภาษีประจำปี: กำไรสุทธิที่ได้จากคริปโทฯ จะถูกนำไปรวมกับเงินได้ประเภทอื่น ๆ ของคุณ (เช่น เงินเดือน) เพื่อคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า (ตั้งแต่ 0% ถึง 35%)

การหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% (สำหรับ Exchange ไทย)

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ใช้บริการ Exchange ที่ได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ในประเทศไทย (เช่น Bitkub, Satang Pro, Zipmex ฯลฯ) เมื่อคุณทำกำไรจากการซื้อขาย Exchange เหล่านั้นจะทำหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ของกำไรที่เกิดขึ้น

สิ่งที่ควรรู้: แม้ว่า Exchange จะหัก 15% ไปแล้ว แต่รายได้ส่วนนี้ก็ยังคงต้องนำไป รวมยื่นภาษี ประจำปีอยู่ดี อย่างไรก็ตาม จำนวนเงิน 15% ที่ถูกหักไปแล้วนั้นจะถือเป็น “เครดิตภาษี” ที่คุณสามารถนำมาหักออกจากภาษีที่คุณต้องจ่ายจริงได้ ซึ่งในบางกรณี หากอัตราภาษีของคุณต่ำกว่า 15% คุณอาจได้รับเงินคืนภาษีในส่วนนี้ด้วย

รายได้จาก DeFi, Airdrop, และ Staking นับอย่างไร?

เมื่อโลกของการ การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี ขยายตัว กิจกรรมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเทรดโดยตรงก็เพิ่มขึ้น ซึ่งเหล่านี้ก็มีภาระภาษีเช่นกัน:



  • Staking/Lending/Farm (ดอกเบี้ย): ผลตอบแทนที่ได้รับ (เช่น เหรียญใหม่) จะถูกนับเป็นรายได้ ณ วันที่ได้รับเหรียญนั้น ๆ โดยคิดมูลค่าเป็นเงินบาท ณ วันที่ได้รับ

  • Airdrop/Bounty: หากคุณได้รับเหรียญฟรี รายได้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณนำเหรียญนั้นไปขายหรือแลกเปลี่ยน มูลค่าที่ต้องเสียภาษีคือ ราคาขาย หักด้วย ต้นทุน (ซึ่งถือเป็นศูนย์)

วิธีการคำนวณและยื่นภาษี (ฉบับไม่ซับซ้อน)

การยื่นภาษีคริปโทฯ จะทำพร้อมกับการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด. 90/91) ในช่วงต้นปีถัดไป (สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2569 คุณจะยื่นในปี 2570)

เอกสารและหลักฐานที่ต้องเตรียม


หัวใจสำคัญของการจัดการภาษีคริปโทคือ “การบันทึก” คุณจำเป็นต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนเพื่อแสดงให้ สรรพากร เห็นถึงที่มาของตัวเลขกำไรและขาดทุน



  1. รายงานการซื้อขาย (Transaction History): ดาวน์โหลดรายงานการซื้อขายทั้งหมดจาก Exchange ทั้งในและต่างประเทศ (Export CSV)

  2. หลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่าย: หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ที่ได้รับจาก Exchange ไทย (ถ้ามี)

  3. เครื่องมือช่วยคำนวณ: หากมีการซื้อขายซับซ้อนข้ามหลายแพลตฟอร์ม ควรใช้โปรแกรมหรือเว็บไซต์คำนวณภาษีคริปโทฯ โดยเฉพาะ เพื่อช่วยคำนวณต้นทุนแบบ FIFO อย่างแม่นยำ

เมื่อคุณได้ตัวเลข “กำไรสุทธิ” แล้ว ให้นำตัวเลขนี้ไปกรอกในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในหมวดของ “เงินได้พึงประเมินมาตรา 40(4)(ฉ) – ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซี หรือโทเคนดิจิทัล”

บทสรุป: ไม่ต้องกลัว แค่เตรียมพร้อม

การลงทุนในคริปโทฯ เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แต่การปฏิบัติตามกฎหมายภาษีก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคุณเป็นมือใหม่ในปี พ.ศ. 2569 ขอให้คุณเริ่มต้นด้วยการบันทึกข้อมูลการซื้อขายอย่างสม่ำเสมอ การทำความเข้าใจว่ารายได้ใดต้องเสียภาษี และการเตรียมหลักฐานให้พร้อม จะช่วยให้คุณสามารถยื่นภาษีได้อย่างถูกต้องครบถ้วน และหลีกเลี่ยงปัญหาการถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังได้อย่างแน่นอน หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะ เพื่อความมั่นใจสูงสุดในการลงทุนของคุณ