ถอดรหัสภาษีคริปโทฯ ปี 2569: นักลงทุนมือใหม่ต้องรู้อะไรบ้าง เพื่อเลี่ยงโดนปรับ
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ การลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี กลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายสำหรับคนไทยในปัจจุบัน แต่เมื่อมีกำไรเข้ามา สิ่งที่ตามมาและสำคัญไม่แพ้กันคือ “ภาระภาษี” ครับ สำหรับ นักลงทุนคริปโท มือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัล อาจจะรู้สึกว่าเรื่อง ภาษีคริปโท เป็นเรื่องซับซ้อน แต่ไม่ต้องกังวลไป! ในปี พ.ศ. 2569 นี้ กฎหมายที่เกี่ยวข้องเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และการทำความเข้าใจพื้นฐานจะช่วยให้คุณบริหารจัดการการเงินได้อย่างราบรื่นและหลีกเลี่ยงการโดนปรับอย่างไม่ตั้งใจ บทความนี้จะพาคุณไปถอดรหัส กฎหมายคริปโท ที่เกี่ยวข้องกับภาษีอย่างละเอียดในแบบที่เข้าใจง่ายที่สุด
ภาพรวมภาษีคริปโทฯ ในไทย: ทำไมต้องเสียภาษี?
ตามกฎหมายของกรมสรรพากรของประเทศไทย คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของ “สินทรัพย์ดิจิทัล” และกำไรที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ซ) ซึ่งหมายความว่ากำไรที่คุณได้รับต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
คริปโทฯ แบบไหนที่ต้องเสียภาษี?
หลักการสำคัญคือ “การได้รับผลประโยชน์หรือกำไร” โดยกิจกรรมที่ทำให้เกิดภาระภาษี ได้แก่:
- กำไรจากการขายหรือแลกเปลี่ยน (Capital Gain): การขายคริปโทฯ ออกเป็นเงินบาท หรือการแลกเปลี่ยนคริปโทฯ หนึ่งไปเป็นคริปโทฯ อีกตัวหนึ่ง (เช่น แลก BTC เป็น ETH) โดยมีกำไรส่วนต่าง
- รายได้จากการขุด (Mining): รายได้ที่ได้รับเป็นคริปโทฯ จากการขุด ถือเป็นเงินได้จากการประกอบกิจการ
- รายได้จากการให้กู้ยืม/สเตกกิ้ง (Staking/Lending): ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนที่ได้รับจากการนำคริปโทฯ ไปล็อกไว้ หรือให้กู้ยืม
- รายได้อื่น ๆ: รวมถึง Airdrop, Bounty, หรือรางวัลที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินเช่นกัน
กฎหมายที่นักลงทุนคริปโทฯ มือใหม่ต้องทำความเข้าใจ
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น การลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี มักจะสับสนกับเรื่องอัตราภาษีและการคำนวณต้นทุน นี่คือสองประเด็นหลักที่คุณต้องทำความเข้าใจเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการยื่นภาษีในปี 2569
อัตราภาษีและการหัก ณ ที่จ่าย
ในปัจจุบัน กำไรที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายคริปโทฯ จะถูกนำมาคำนวณรวมกับรายได้อื่น ๆ ของคุณ (เช่น เงินเดือน) เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้า (สูงสุด 35%) อย่างไรก็ตาม มีมาตรการสำคัญที่เกี่ยวข้องคือ:
- การหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%: ในกรณีที่มีการโอนคริปโทฯ ผ่านศูนย์ซื้อขาย (Exchange) ที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย Exchange เหล่านั้นมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของกำไร (Capital Gain) ก่อนจ่ายเงินให้แก่คุณ ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บภาษี
- เครดิตภาษี: เงินที่ถูกหัก 15% นี้ สามารถนำไปเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่คุณต้องจ่ายจริงเมื่อยื่นภาษีประจำปีได้
- การขาดทุน: สิ่งสำคัญที่ทำให้ ภาษีคริปโท แตกต่างจากสินทรัพย์อื่นคือ คุณสามารถนำผลขาดทุนจากการซื้อขายคริปโทฯ ในปีภาษีเดียวกันมาหักลบกับผลกำไรได้ (Netting) ก่อนการคำนวณภาษี
วิธีการคำนวณกำไร-ขาดทุน (ต้นทุน)
การคำนวณต้นทุนเป็นหัวใจสำคัญ เพราะถ้าคำนวณต้นทุนผิด กำไรที่ต้องเสียภาษีก็จะผิดไปด้วย นักลงทุนมือใหม่ควรเลือกวิธีการคำนวณที่สม่ำเสมอ โดยวิธีที่ได้รับการยอมรับและใช้กันทั่วไป ได้แก่:
- วิธีเข้าก่อนออกก่อน (First In, First Out – FIFO): เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด คือการสมมติว่าเหรียญที่คุณขายออกไปก่อน คือเหรียญที่คุณซื้อเข้ามาในล็อตแรก ๆ
- วิธีราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average Cost – WAC): วิธีนี้จะนำต้นทุนการซื้อทั้งหมดมาหาค่าเฉลี่ย เพื่อใช้เป็นต้นทุนในการขายแต่ละครั้ง
ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใด สิ่งสำคัญคือการบันทึกรายการซื้อขายทั้งหมดอย่างละเอียด (Transaction Logs) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการพิสูจน์ต้นทุนต่อกรมสรรพากร
5 ขั้นตอนสำคัญในการยื่นภาษีคริปโทฯ ปี 2569
เพื่อให้นักลงทุนมือใหม่สามารถทำตามได้อย่างไม่สับสน นี่คือขั้นตอนปฏิบัติจริงในการเตรียมตัวและยื่น ภาษีคริปโท สำหรับรอบปีภาษี 2569
- รวบรวมข้อมูลการซื้อขายทั้งหมด: ติดต่อ Exchange ที่คุณใช้บริการ เพื่อขอรายงานการซื้อขายประจำปี (โดยเฉพาะ Exchange ไทยที่ต้องออกเอกสารเพื่อยื่นภาษี) รวมถึงรวบรวมข้อมูลจาก DeFi หรือ Wallet อื่น ๆ ที่คุณใช้งานด้วย
- คำนวณกำไรสุทธิ: ใช้โปรแกรมหรือเครื่องมือคำนวณภาษีคริปโทฯ (Crypto Tax Calculator) เพื่อคำนวณกำไรสุทธิทั้งหมดหลังจากหักต้นทุนและผลขาดทุนแล้ว
- เตรียมเอกสารหัก ณ ที่จ่าย: หากมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ผ่าน Exchange ไทย คุณต้องเก็บใบรับรองการหักภาษี (หนังสือรับรอง 50 ทวิ) ไว้เพื่อนำไปใช้เป็นเครดิตภาษี
- กรอกแบบแสดงรายการ: นำกำไรสุทธิไปกรอกในแบบ ภ.ง.ด. 90 (สำหรับผู้มีเงินได้ทุกประเภท) ในส่วนของเงินได้มาตรา 40(4)(ซ) และกรอกเครดิตภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้
- ตรวจสอบและยื่นภาษี: ยื่นแบบแสดงรายการผ่านระบบออนไลน์ของกรมสรรพากร (RD E-Filing) ภายในกำหนดเวลา (โดยปกติคือช่วงต้นปี 2570 สำหรับเงินได้ปี 2569) เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้ปฏิบัติตาม กฎหมายคริปโท อย่างถูกต้อง
ข้อควรระวังและการวางแผนภาษีสำหรับนักลงทุนคริปโทฯ
การหลีกเลี่ยงการโดนปรับไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การยื่นภาษีให้ทันเวลาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความถูกต้องของข้อมูลที่ยื่นด้วย
ความเสี่ยงในการใช้ Exchange ต่างประเทศ
แม้ว่า Exchange ต่างประเทศจะไม่สามารถหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ได้เหมือน Exchange ในไทย แต่กำไรที่คุณได้รับจากการซื้อขายในต่างประเทศก็ยังคงเป็นเงินได้ที่ต้องนำมายื่นภาษีในประเทศไทย หากคุณเป็นพลเมืองไทยที่นำเงินได้นั้นกลับเข้ามาในประเทศในปีภาษีเดียวกัน ดังนั้น นักลงทุนคริปโท ที่เทรดในตลาดโลกต้องมีความรับผิดชอบในการบันทึกข้อมูลและคำนวณภาษีด้วยตนเองอย่างเคร่งครัด
การวางแผนเพื่อลดภาระภาษีอย่างถูกกฎหมาย
การวางแผนที่ดีช่วยลดภาระ ภาษีคริปโท ได้:
- การใช้สิทธิขาดทุน (Tax Loss Harvesting): หากคุณมีการขาดทุนจากการขายเหรียญบางตัวในปี 2569 ควรพิจารณาขายเหรียญที่ขาดทุนเพื่อนำมาหักลบกับกำไรที่เกิดขึ้นก่อนสิ้นปีภาษี
- การตรวจสอบต้นทุนอย่างละเอียด: การบันทึกต้นทุนที่ไม่ครบถ้วนจะทำให้กำไรสูงเกินจริง และต้องเสียภาษีเกินความจำเป็น
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากการทำธุรกรรมของคุณมีความซับซ้อน เช่น การทำ DeFi, การใช้ Yield Farming หรือมีปริมาณการซื้อขายสูง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีคริปโทโดยเฉพาะ
บทสรุป: ความรู้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
สำหรับ นักลงทุนคริปโท มือใหม่ การทำความเข้าใจเรื่อง ภาษีคริปโท ในปี พ.ศ. 2569 ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การลงทุนในโลกดิจิทัลนั้นให้ผลตอบแทนสูง แต่มาพร้อมกับความรับผิดชอบทางกฎหมาย การบันทึกข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ การคำนวณต้นทุนอย่างถูกต้อง และการยื่นภาษีอย่างครบถ้วนตาม กฎหมายคริปโท ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการโดนปรับเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างวินัยทางการเงินที่ดีในระยะยาวอีกด้วย ขอให้ทุกท่านสนุกกับการ การลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี และบริหารจัดการภาษีได้อย่างราบรื่นตลอดปีนี้ครับ










