เจาะลึก 5 ประเด็นสำคัญ ภาษีคริปโทฯ ไทย ปี 2569: นักลงทุนต้องรู้ก่อนยื่นสรรพากร

0
7

เจาะลึก 5 ประเด็นสำคัญ ภาษีคริปโทฯ ไทย ปี 2569: นักลงทุนต้องรู้ก่อนยื่นสรรพากร

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงเป็นสนามลงทุนที่ร้อนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และสำหรับนักลงทุนในประเทศไทยที่กำลังมองหาโอกาสจากการการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีในปี พ.ศ. 2569 เรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ ‘ภาษี’

การทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ด้านภาษีคริปโทฯ ไม่เพียงแต่ช่วยให้การลงทุนราบรื่น แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาทางกฎหมายกับสรรพากรในอนาคต บทความนี้จะเจาะลึก 5 ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนคริปโทฯ ทุกคนต้องรู้และเตรียมพร้อมรับมือก่อนถึงฤดูยื่นภาษี

เริ่มต้นปี 2569: ทำไมเรื่องภาษีคริปโทฯ ถึงสำคัญสำหรับนักลงทุน?

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลของไทยได้มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมองว่าเงินได้ที่เกิดขึ้นจากคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลนั้น ถือเป็น ‘เงินได้พึงประเมิน’ ตามประมวลรัษฎากร ซึ่งหมายความว่า หากคุณมีกำไรจากการซื้อขาย การขุด หรือการได้รับผลตอบแทน (Yield/Staking) คุณมีหน้าที่ต้องนำเงินได้เหล่านั้นมายื่นภาษี

ความท้าทายของนักลงทุนคริปโทฯ คือการติดตามกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2569 ที่เทคโนโลยี DeFi และ NFT เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจขอบเขตภาษีจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำทันที

5 ประเด็นภาษีคริปโทฯ ที่นักลงทุนไทยต้องทำความเข้าใจในปี 2569

เราได้สรุปประเด็นหลัก 5 ข้อที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายภาษีคริปโทฯในปัจจุบัน เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างถูกต้อง:

1. เงินได้ประเภทใดบ้างที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีคริปโทฯ

ตามข้อกำหนดของสรรพากร เงินได้จากคริปโทฯ ถูกจัดอยู่ในมาตรา 40(4) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งครอบคลุมเงินได้หลักๆ ดังนี้:


  • กำไรจากการซื้อขาย (Capital Gain): กำไรที่เกิดจากการขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัลที่เกินกว่าต้นทุน (ถือเป็นเงินได้ 40(4)(ซ)) รวมถึงการแลกเปลี่ยนคริปโทฯ เป็นสินค้าหรือบริการ หรือแลกเปลี่ยนเหรียญหนึ่งเป็นอีกเหรียญหนึ่ง

  • ผลตอบแทนจากการถือครอง (Yield/Staking): ผลตอบแทนที่ได้จากการปล่อยกู้ (Lending) การวางเหรียญเพื่อรับผลตอบแทน (Staking) หรือการให้สภาพคล่อง (Liquidity Providing) ถือเป็นเงินได้ 40(4)(ฌ)

  • เงินได้จากการขุด (Mining): เหรียญที่ได้รับจากการขุดคริปโทเคอร์เรนซี ถือเป็นเงินได้พึงประเมินเช่นกัน

ดังนั้น หากคุณทำธุรกรรมใดๆ ที่ก่อให้เกิดกำไรหรือผลตอบแทนจากสินทรัพย์ดิจิทัล คุณต้องบันทึกเป็นรายได้เพื่อยื่นภาษี

2. อัตราภาษีและการคำนวณ: 15% คืออะไร และต้องยื่นภาษีอย่างไร

เงินได้จากคริปโทฯ ถูกจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าเหมือนเงินได้บุคคลธรรมดาทั่วไป (สูงสุด 35%) อย่างไรก็ตาม กฎหมายเดิมกำหนดให้มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) ในอัตราร้อยละ 15 สำหรับกำไรจากการซื้อขาย แต่ประเด็นนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ:


  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15%: เดิมเงินได้จากคริปโทฯ ต้องถูกหักภาษี 15% ทันทีที่ได้รับ แต่ด้วยมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับตลาดที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจ (Exchange ไทย) ได้รับการยกเว้นหน้าที่ในการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%

  • ภาระการยื่นภาษี: แม้ Exchange จะไม่หัก 15% แล้ว แต่ภาระในการนำกำไรทั้งหมดไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่นๆ (เช่น เงินเดือน) เพื่อเสียภาษีในอัตราก้าวหน้ายังคงอยู่ นี่คือสิ่งที่นักลงทุนคริปโทฯต้องทำด้วยตนเองในช่วงต้นปีถัดไป

3. ข่าวดีสำหรับนักลงทุน: การยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%

นี่คือประเด็นสำคัญที่อำนวยความสะดวกให้แก่การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีในไทยอย่างมาก การยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% สำหรับกำไรจากการซื้อขายใน Exchange ที่ได้รับอนุญาตในไทย ทำให้สภาพคล่องของนักลงทุนไม่ถูกดึงออกไปทันที และนักลงทุนสามารถนำกำไรไปหมุนเวียนต่อได้ทั้งปี

อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้ว่า การยกเว้นนี้ไม่ใช่การยกเว้นภาษี แต่เป็นการยกเว้นหน้าที่การหักภาษีของแพลตฟอร์มเท่านั้น ดังนั้น การบันทึกรายการซื้อขายและกำไรขาดทุนอย่างละเอียดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

4. สรรพากรกับการหักลบขาดทุน: ทำได้จริงหรือไม่?

นี่คือจุดที่สร้างความสับสนและเป็นปัญหาใหญ่สำหรับนักลงทุนคริปโทฯที่ขาดทุนจากการเทรด

ตามหลักการปัจจุบัน กำไรจากการซื้อขายคริปโทฯ (40(4)(ซ)) สามารถหักลบด้วยต้นทุนการได้มา (Cost Basis) ได้ แต่หลักการที่สรรพากรยังคงยึดถืออย่างเคร่งครัดคือ:


  • การหักลบขาดทุนข้ามประเภท: ไม่สามารถนำผลขาดทุนจากการซื้อขายคริปโทฯ ไปหักลบกับเงินได้ประเภทอื่น เช่น เงินเดือน หรือเงินปันผลหุ้น

  • การหักลบขาดทุนระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัล: การนำกำไรจากเหรียญ A ไปหักลบกับขาดทุนจากเหรียญ B ยังเป็นประเด็นที่ต้องตีความอย่างระมัดระวัง แม้ว่าแนวโน้มในอนาคตอาจผ่อนคลายขึ้น แต่ ณ ปี 2569 นักลงทุนคริปโทฯ ควรบันทึกกำไรและต้นทุนของแต่ละธุรกรรมอย่างชัดเจน และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อความแน่นอน

5. บทบาทของ Exchange ไทย: การรายงานข้อมูลต่อนักลงทุนและสรรพากร

เนื่องจาก Exchange ในประเทศไทยต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พวกเขาจึงมีหน้าที่ในการจัดทำรายงานข้อมูลธุรกรรมของลูกค้า และต้องมีการนำส่งข้อมูลดังกล่าวให้กับสรรพากรตามที่กฎหมายกำหนด

สำหรับนักลงทุนคริปโทฯ นี่หมายความว่าการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มไทยจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบได้ การบันทึกข้อมูลส่วนตัว (Know Your Customer – KYC) และการทำธุรกรรมทั้งหมดจะถูกจัดเก็บไว้ นี่คือเหตุผลที่การเก็บหลักฐานการทำธุรกรรมนอกประเทศ (Offshore Exchange) หรือธุรกรรม DeFi ต้องทำอย่างรัดกุมเป็นพิเศษ เพื่อให้คุณสามารถยื่นภาษีได้อย่างถูกต้องตามข้อมูลที่หน่วยงานมี

บทสรุป: เตรียมตัวอย่างไรให้รอดพ้นจากปัญหาภาษีในปี 2569

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี การจัดการภาษีไม่ใช่เรื่องยากหากมีการเตรียมตัวที่ดีในปี พ.ศ. 2569 หัวใจสำคัญคือการเก็บบันทึกข้อมูลอย่างละเอียดและสม่ำเสมอ


  1. ใช้เครื่องมือช่วยคำนวณภาษี (Tax Calculation Tools) เพื่อติดตามต้นทุนและกำไรจากการซื้อขาย

  2. แยกบัญชีการลงทุนออกจากบัญชีส่วนตัว เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบเมื่อถึงเวลายื่นภาษี

  3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีคริปโทฯ หากมีการทำธุรกรรมที่ซับซ้อน เช่น การทำ DeFi หรือการได้รับ NFT

การยื่นภาษีอย่างถูกต้องและครบถ้วนไม่เพียงแต่แสดงความรับผิดชอบในฐานะพลเมืองเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีของคุณเป็นไปอย่างยั่งยืนและสบายใจตลอดปี 2569