เปิดพิกัด! โปรบัตรเครดิตรับเงินคืนสูงสุดแห่งปี 2567: ธนาคารไหนให้แคชแบ็กเยอะที่สุดในไทย?

0
8

เปิดพิกัด! โปรบัตรเครดิตรับเงินคืนสูงสุดแห่งปี 2567: ธนาคารไหนให้แคชแบ็กเยอะที่สุดในไทย?

ในยุคที่ทุกการใช้จ่ายต้องคุ้มค่า การเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มอบผลตอบแทนคืนกลับมาจึงเป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่ฉลาดที่สุดอย่างหนึ่ง และสิ่งที่นักช้อปทุกคนมองหาหนีไม่พ้น โปรบัตรเครดิตรับเงินคืนสูงสุด หรือที่เรียกกันติดปากว่า “แคชแบ็ก” (Cash Back) ที่หลายธนาคารต่างก็แข่งกันออกโปรโมชันเด็ดตลอดทั้งปี

แต่คำถามสำคัญคือ: ในบรรดาโปรโมชันมากมายเหล่านี้ ธนาคารไหนให้แคชแบ็กเยอะที่สุดในไทย และเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเรากำลังได้รับผลตอบแทนที่ ‘สูงสุด’ จริงๆ ในบทความนี้ เราในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจะพาคุณไปเจาะลึกกลยุทธ์การล่าเงินคืน และชี้เป้าว่าค่ายไหนคือเจ้าแห่งแคชแบ็กตัวจริง

ทำความเข้าใจ “เงินคืนสูงสุด” ไม่ใช่แค่ตัวเลข

ก่อนที่เราจะไปดูว่าธนาคารไหนให้โปรบัตรเครดิตที่คุ้มค่าที่สุด เราต้องเข้าใจก่อนว่า “สูงสุด” ในโลกของแคชแบ็กไม่ได้หมายถึงแค่เปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุดเท่านั้น แต่หมายถึงจำนวนเงินคืนที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณมากที่สุดต่างหาก

เงินคืนแบบคงที่ (Flat Rate Cash Back)

คือการคืนเงินในอัตราคงที่สำหรับการใช้จ่ายทุกประเภท เช่น 1% หรือ 0.5% ข้อดีคือเข้าใจง่าย ไม่ต้องจำหมวดหมู่ แต่ข้อเสียคือยอดเงินคืนสูงสุดมักจะถูกจำกัดไว้ต่ำกว่าบัตรประเภทอื่น เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้จ่ายหลากหลาย ไม่ได้เน้นหมวดหมู่ใดเป็นพิเศษ

เงินคืนแบบตามหมวดหมู่ (Category Specific Cash Back)

คือการให้เปอร์เซ็นต์เงินคืนที่สูงมาก (เช่น 5% ถึง 10%) แต่จำกัดเฉพาะหมวดหมู่ที่กำหนด เช่น ปั๊มน้ำมัน ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร หรือช้อปปิ้งออนไลน์ บัตรประเภทนี้มักเป็นที่มาของคำว่า เงินคืนสูงสุด เพราะเปอร์เซ็นต์ที่ได้นั้นสูงลิ่ว แต่มีข้อจำกัดเรื่องยอดใช้จ่ายที่ได้รับแคชแบ็กสูงสุดต่อเดือน

เงินคืนแบบโปรโมชันพิเศษ (Seasonal/Campaigns)

นี่คือจุดที่ธนาคารต่างๆ แข่งขันกันดุเดือดที่สุด โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือช่วงสิ้นปี ธนาคารจะออกแคมเปญให้ลงทะเบียนเพื่อรับเงินคืนเพิ่ม (Extra Cash Back) เมื่อใช้จ่ายครบตามเงื่อนไข (เช่น ใช้จ่ายสะสม 50,000 บาท รับเงินคืน 5,000 บาท) ซึ่งโปรโมชันเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดยอด เงินคืนสูงสุดแห่งปี

เปิดศึกชิงโปรฯ: บัตรเครดิตค่ายไหนให้เงินคืนคุ้มที่สุด?

จากการสำรวจตลาดบัตรเครดิตและ โปรบัตรเครดิต ในประเทศไทย พบว่าธนาคารแต่ละแห่งมีจุดเด่นและกลยุทธ์การคืนเงินที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน หากคุณกำลังมองหาความคุ้มค่าสูงสุด ลองพิจารณากลุ่มธนาคารเหล่านี้

กลุ่มที่ 1: เจ้าตลาดแคชแบ็กรายวัน/รายเดือน (เน้นความสม่ำเสมอ)

ธนาคารกลุ่มนี้มักจะครองตำแหน่งบัตรที่ให้เงินคืนดีที่สุดในหมวดหมู่เฉพาะเจาะจง และมักมีโปรโมชันที่ต่อเนื่องตลอดปี ไม่ใช่แค่ตามฤดูกาล

  • ธนาคารกสิกรไทย (KBank): หลายบัตรของ KBank โดดเด่นเรื่องแคชแบ็กในหมวดหมู่ไลฟ์สไตล์ เช่น ช้อปปิ้งออนไลน์ หรือการใช้จ่ายในต่างประเทศ มักมีเพดานเงินคืนที่สมเหตุสมผลสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
  • ธนาคารกรุงศรี (Krungsri Group): บัตรที่เน้นแคชแบ็กของกรุงศรีมักจะให้เปอร์เซ็นต์สูงในหมวดหมู่ที่คนไทยใช้จ่ายบ่อย เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตและปั๊มน้ำมัน และมักมีโปรโมชันลงทะเบียนรับเงินคืนเพิ่มที่ร่วมกับร้านค้าพันธมิตรจำนวนมาก
  • ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb): บัตรบางประเภทของ ttb ถูกออกแบบมาเพื่อการคืนเงินโดยเฉพาะ โดยเฉพาะหมวดรถยนต์และน้ำมัน ทำให้ผู้ใช้กลุ่มนี้ได้รับ เงินคืนสูงสุด ในกลุ่มการใช้จ่ายที่ต้องเสียเป็นประจำ

กลุ่มที่ 2: เจ้าแห่งโปรโมชันใหญ่ประจำปี (เน้นยอดใช้จ่ายสูง)

หากคุณเป็นนักใช้จ่ายตัวยงที่มียอดใช้จ่ายต่อเดือนสูง หรือมีแผนใช้จ่ายก้อนใหญ่ในช่วงใดช่วงหนึ่งของปี กลุ่มนี้คือผู้ที่มอบผลตอบแทน เงินคืนสูงสุดแห่งปี ผ่านแคมเปญสะสมยอด

ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ UOB (รวมถึงบัตรเครดิตที่ย้ายมาจาก Citi): สองค่ายนี้มักจะออกโปรโมชันที่ต้องลงทะเบียนและมีเงื่อนไขการใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับคืนมาก็สูงตามไปด้วย (อาจสูงถึง 10-15% ของยอดใช้จ่ายที่ร่วมโปรโมชัน) โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวหรือช่วงเปิดเทอม ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายก้อนใหญ่

เคล็ดลับ: โปรโมชันเหล่านี้มักจำกัดจำนวนสิทธิ์และต้องลงทะเบียนผ่าน SMS หรือแอปพลิเคชัน ดังนั้น การติดตามข่าวสารของ โปรบัตรเครดิต จากธนาคารเหล่านี้อย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ

กลุ่มที่ 3: บัตรเฉพาะทางที่ให้เงินคืนสูงลิ่ว

กลุ่มนี้เป็นบัตรที่ให้แคชแบ็กสูงมาก แต่จำกัดเฉพาะช่องทางการใช้จ่ายที่แคบมาก เช่น บัตรที่ให้เงินคืน 10% สำหรับการจองโรงแรมผ่านเว็บไซต์ที่กำหนด หรือบัตรที่ให้เงินคืน 3-5% สำหรับการเติมน้ำมันเท่านั้น หากคุณมีการใช้จ่ายประจำในช่องทางเหล่านี้ การถือบัตรเฉพาะทางจึงเป็นทางเลือกที่มอบ แคชแบ็ก ได้คุ้มค่าที่สุด

กลยุทธ์ใช้บัตรเครดิตรับเงินคืนให้ได้ “สูงสุด” จริง

การมีบัตรเครดิตที่ให้เงินคืนดีที่สุดในมือยังไม่เพียงพอ คุณต้องมีกลยุทธ์ในการใช้งานด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับผลตอบแทน เงินคืนสูงสุด จากทุกการใช้จ่าย

  1. อ่านเงื่อนไขและเพดานเงินคืน: อย่าหลงเพียงแค่เปอร์เซ็นต์ที่สูง แต่ต้องดูว่าธนาคารจำกัดยอดเงินคืนสูงสุดต่อเดือนไว้ที่เท่าไหร่ (เช่น 5% แต่คืนสูงสุดไม่เกิน 300 บาท) หากยอดใช้จ่ายของคุณสูงกว่าเพดาน คุณอาจต้องใช้บัตรใบอื่นเสริม
  2. ลงทะเบียนทุกครั้ง: โปรโมชันแคชแบ็กส่วนใหญ่ โดยเฉพาะโปรโมชันที่ให้เงินคืนสูงๆ มักกำหนดให้ลูกค้าต้องลงทะเบียนผ่าน SMS หรือแอปพลิเคชันก่อนเสมอ หากไม่ลงทะเบียน คุณอาจพลาดโอกาสรับเงินคืนไปอย่างน่าเสียดาย
  3. ใช้บัตรให้ตรงหมวดหมู่: หากคุณมีบัตรหลายใบ ควรแบ่งใช้ตามประเภท: ใช้บัตร A สำหรับซูเปอร์มาร์เก็ต (5%), ใช้บัตร B สำหรับเติมน้ำมัน (3%), และใช้บัตร C สำหรับการใช้จ่ายทั่วไป (1%)
  4. ติดตามข่าวสารโปรบัตรเครดิต: โปรโมชันที่ดีที่สุดมักเป็นโปรโมชันชั่วคราว การสมัครรับข่าวสาร หรือการติดตามเว็บไซต์การเงินที่อัปเดต โปรบัตรเครดิต ล่าสุดอยู่เสมอ จะช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสทอง

สรุป: บัตรเครดิตไหนคือผู้ชนะเงินคืนสูงสุดแห่งปี?

คำตอบที่แท้จริงคือ ไม่มีบัตรใบใดใบหนึ่งที่เป็นผู้ชนะตลอดกาล แต่ผู้ชนะคือบัตรที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณมากที่สุด

หากคุณใช้จ่ายสูงและจัดสรรการใช้จ่ายตามช่วงเวลาได้ดี บัตรจากกลุ่มธนาคารที่เน้นโปรโมชันใหญ่ (SCB, UOB) จะมอบ เงินคืนสูงสุดแห่งปี ให้คุณได้จริง แต่หากคุณต้องการความสม่ำเสมอและแคชแบ็กในชีวิตประจำวัน บัตรจากกลุ่ม KBank, Krungsri, หรือ ttb ที่ให้เปอร์เซ็นต์สูงในหมวดหมู่เฉพาะจะคุ้มค่ากว่า

ไม่ว่าคุณจะเลือกบัตรไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้จ่ายอย่างมีวินัยและใช้ประโยชน์จาก โปรบัตรเครดิตรับเงินคืน ให้ได้เต็มที่ เพื่อให้ทุกบาทที่คุณจ่ายไป ได้รับผลตอบแทนคืนกลับมาอย่างคุ้มค่าที่สุด